Please use this identifier to cite or link to this item: http://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/37859
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorผาสุก มหรรฆานุเคราะห์-
dc.contributor.advisorสุคนธ์ ประสิทธิ์วัฒนเสรี-
dc.contributor.authorอรณัฐ หวังดีen_US
dc.date.accessioned2015-03-11T10:37:15Z-
dc.date.available2015-03-11T10:37:15Z-
dc.date.issued2014-08-
dc.identifier.urihttp://cmuir.cmu.ac.th/handle/6653943832/37859-
dc.description.abstractการระบุเพศที่ถูกต้องของโครงกระดูกมนุษย์นั้นมีความสำคัญอย่างมากในทางนิติเวชวิทยาศาสตร์แต่ก็เป็นเรื่องที่พบได้ไม่บ่อยนักกับการที่จะพบโครงกระดูกในสถานที่เกิดเหตุมักต้องเป็นคดีที่มีความจำเพาะ อาทิเช่น ศพจมน้ำ หรือถูกฝังดินเป็นต้นเมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปร่างของศพจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติก็จะสามารถมองเห็นกระดูกได้จากกรณีดังกล่าวจึงสามารถนำไปสู่การตรวจพิสูจน์ทางด้านนิติมานุษยวิทยาได้ต่อไป ในการจำแนกเพศจากโครงกระดูกส่วนของกระดูกที่นิยมถูกนำมาใช้มากที่สุด คือ ส่วนของกระดูกเชิงกราน( pelvis)เนื่องจากส่วนของกระดูกดังกล่าวมีความแตกต่างในแต่ละเพศค่อนข้างชัดเจน เพราะลักษณะของกระดูกเชิงกรานมีความสัมพันธ์กับหน้าที่ของระบบการทำงานในแต่ละเพศ ด้วยเหตุที่ยังไม่มีผู้ที่ทำการศึกษาในเรื่องนี้ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้สนใจทำการศึกษาประสิทธิภาพของการแยกเพศโดยใช้ลักษณะภายนอกของกระดูกเชิงกรานในกลุ่มของประชากรไทย โดยศึกษาจากโครงกระดูกเชิงกราน (pelvis) ที่ทราบเพศและอายุ (ขณะเสียชีวิต) ของผู้อุทิศร่างกาย ณ ศูนย์วิจัยนิติวิทยากระดูก (Forensic Osteology Research Center,FORC) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีจำนวน 438 โครง โดยแบ่งเป็นเพศชาย 276 โครง เพศหญิง 162 โครง อายุระหว่าง 15-96 ปี ในการวิจัยครั้งนี้เลือกกลุ่มตัวอย่างจำนวน 300 โครง แบ่งเป็นเพศชาย 150 และเพศหญิง 150 โครง ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยจึงได้สนใจการศึกษาการแยกเพศของกระดูกเชิงกรานโดยใช้การวิเคราะห์ลักษณะรูปร่างของกระดูกเชิงกราน ทั้งหมด 10 ตัวแปร คือ greater sciatic notch, subpubic concavity, pre- and post-auricular sulcus, iliac fossa, acetabulum, ischiopubic ramus, composite arch, ventral arch, pubic bone shape and dorsal pubic pitting ผลการศึกษาที่ได้คือ โดยสามารถจัดลำดับตัวแปรที่สามารถระบุเพศได้ดีที่สุดสามตัวแปรมี ค่าเฉลี่ยของความถูกต้องในการระบุเพศของทั้ง 2 เพศ คือ อันดับแรก Sub pubic angles 98.5% ถัดมา Greater sciatic notch อยู่ที่ 98.9% ลำดับสุดท้ายคือ Pubic bone shape อยู่ที่ 97.9%en_US
dc.language.isothen_US
dc.publisherเชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่en_US
dc.titleประสิทธิภาพของการตรวจเพศโดยใช้ลักษณะภายนอกของกระดูกเชิงกรานในกลุ่มของประชากรไทยen_US
dc.title.alternativeEfficiency of sex determination by using external morphology of pelvis in Thai populationen_US
thailis.classification.ddc363.25-
thailis.controlvocab.thashนิติวิทยาศาสตร์-
thailis.controlvocab.thashการตรวจศพ-
thailis.controlvocab.thashกระดูกเชิงกราน-
thailis.controlvocab.thashเพศ--การจำแนก-
thailis.manuscript.callnumberว 363.25 อ174ป-
thesis.degreemasteren_US
thesis.description.thaiAbstractการระบุเพศที่ถูกต้องของโครงกระดูกมนุษย์นั้นมีความสำคัญอย่างมากในทางนิติเวชวิทยาศาสตร์แต่ก็เป็นเรื่องที่พบได้ไม่บ่อยนักกับการที่จะพบโครงกระดูกในสถานที่เกิดเหตุมักต้องเป็นคดีที่มีความจำเพาะ อาทิเช่น ศพจมน้ำ หรือถูกฝังดินเป็นต้นเมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปร่างของศพจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติก็จะสามารถมองเห็นกระดูกได้จากกรณีดังกล่าวจึงสามารถนำไปสู่การตรวจพิสูจน์ทางด้านนิติมานุษยวิทยาได้ต่อไป ในการจำแนกเพศจากโครงกระดูกส่วนของกระดูกที่นิยมถูกนำมาใช้มากที่สุด คือ ส่วนของกระดูกเชิงกราน( pelvis)เนื่องจากส่วนของกระดูกดังกล่าวมีความแตกต่างในแต่ละเพศค่อนข้างชัดเจน เพราะลักษณะของกระดูกเชิงกรานมีความสัมพันธ์กับหน้าที่ของระบบการทำงานในแต่ละเพศ ด้วยเหตุที่ยังไม่มีผู้ที่ทำการศึกษาในเรื่องนี้ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้สนใจทำการศึกษาประสิทธิภาพของการแยกเพศโดยใช้ลักษณะภายนอกของกระดูกเชิงกรานในกลุ่มของประชากรไทย โดยศึกษาจากโครงกระดูกเชิงกราน (pelvis) ที่ทราบเพศและอายุ (ขณะเสียชีวิต) ของผู้อุทิศร่างกาย ณ ศูนย์วิจัยนิติวิทยากระดูก (Forensic Osteology Research Center,FORC) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีจำนวน 438 โครง โดยแบ่งเป็นเพศชาย 276 โครง เพศหญิง 162 โครง อายุระหว่าง 15-96 ปี ในการวิจัยครั้งนี้เลือกกลุ่มตัวอย่างจำนวน 300 โครง แบ่งเป็นเพศชาย 150 และเพศหญิง 150 โครง ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยจึงได้สนใจการศึกษาการแยกเพศของกระดูกเชิงกรานโดยใช้การวิเคราะห์ลักษณะรูปร่างของกระดูกเชิงกราน ทั้งหมด 10 ตัวแปร คือ greater sciatic notch, subpubic concavity, pre- and post-auricular sulcus, iliac fossa, acetabulum, ischiopubic ramus, composite arch, ventral arch, pubic bone shape and dorsal pubic pitting ผลการศึกษาที่ได้คือ โดยสามารถจัดลำดับตัวแปรที่สามารถระบุเพศได้ดีที่สุดสามตัวแปรมี ค่าเฉลี่ยของความถูกต้องในการระบุเพศของทั้ง 2 เพศ คือ อันดับแรก Sub pubic angles 98.5% ถัดมา Greater sciatic notch อยู่ที่ 98.9% ลำดับสุดท้ายคือ Pubic bone shape อยู่ที่ 97.9%en_US
Appears in Collections:GRAD-Health Sciences: Independent Study (IS)

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
ABSTRACT.pdfABSTRACT274.26 kBAdobe PDFView/Open
APPENDIX.pdfAPPENDIX927.36 kBAdobe PDFView/Open
CHAPTER 1.pdfCHAPTER 1649.82 kBAdobe PDFView/Open
CHAPTER 2.pdfCHAPTER 21.17 MBAdobe PDFView/Open
CHAPTER 3.pdfCHAPTER 3268.41 kBAdobe PDFView/Open
CHAPTER 4.pdfCHAPTER 4336.99 kBAdobe PDFView/Open
CHAPTER 5.pdfCHAPTER 5296.27 kBAdobe PDFView/Open
CONTENT.pdfCONTENT177.9 kBAdobe PDFView/Open
COVER.pdfCOVER816.92 kBAdobe PDFView/Open
REFERENCE.pdfREFERENCE319.01 kBAdobe PDFView/Open


Items in CMUIR are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.