Please use this identifier to cite or link to this item: http://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/80237
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorAsst. Prof. Dr. Kanokwan Kulprachakarn-
dc.contributor.advisorDr. Wason Parklak-
dc.contributor.advisorDr. Hataichanok Chuljerm-
dc.contributor.authorMr. Chikondi Maluwaen_US
dc.date.accessioned2024-11-22T00:18:46Z-
dc.date.available2024-11-22T00:18:46Z-
dc.date.issued2024-06-19-
dc.identifier.urihttp://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/80237-
dc.description.abstractHypertension, a major public health concern, is a leading risk factor for cardiovascular diseases. Caregivers are essential for managing hypertension by supporting patients in medication adherence and blood pressure monitoring. This study examined caregivers' knowledge, attitude, and practices (KAP) and the determinants of KAP towards hypertension and caregivers’ knowledge retention after health education. The authors conducted a prospective cohort study in Neno, Malawi, a rural setting. 422 caregivers were enrolled from the Integrated Chronic Care Clinic (IC3). A structured questionnaire was used to collect baseline, post-health education, and week six data. Using SPSS V 22.0, we determined KAP scores, descriptive statistics. The authors compared changes from baseline in mean knowledge, attitude, and practices (KAP) scores, correlation between KAP and between KAP and social demographic characteristics using Wilcoxon signed-rank test, Pearson correlation, and independent t-test respectively. Among the 422 caregivers who participated in the study, 248 (58.8%) were from Lisungwi Community Hospital IC3 clinic and 174 people (41.2%) from Nino District Hospital IC3 clinic, 267 (63.2%) were females, and had a mean age of 44.94 years. At baseline, the scores of knowledge, attitude, and practices had respective means and standard deviations of 9.50 (38.0%) (SD=1.92), 16.76 (93.1%) (SD=1.31), and 25.24 (78.9%) (SD=3.10). Strong positive correlations were found between knowledge and practice (r=+0.252; p<0.001) and knowledge and attitude (r=+0.255; p<0.001). But there was no significant relationship between attitude and practice (r=+0.0.64; p=0.190). Age was strongly associated with attitude (r=+0.233; p<0.001) but not with knowledge (r=+0.034; p=0.490) or practice (r=+0.043; p=0.382) at baseline assessment. The baseline mean knowledge score was 9.50 (38.0%) and rose to 21.08 (84.3%); p= <0.001 immediate post-health education and a 2.1% decrease to 20.54 (82.2%); p= <0.001 at week six from the immediate post health education score. Attitude improved from 16.76 (93.1%) at baseline to 17.74 (98.6%) at the six-week mark. Similarly mean practice score rose from 25.24 (78.9%) at baseline to 27.42 (85.7%) at week six. There was a positive correlation between KAP while age had a negative correlation with knowledge (r=-0.146; p=0.003). There was a significant difference between different education levels on knowledge retention p=0.009 at week six assessment. Caregivers of individuals with hypertension exhibited poor knowledge and practices, accompanied by a positive attitude towards the disease at baseline. There was a positive and good knowledge retention among caregivers of hypertensive patients after health education at the week six mark. With improved knowledge and the ability to retain it resulting in improved attitude and practices, caregivers are a cornerstone for continued and improved hypertension care for the patients.en_US
dc.language.isoenen_US
dc.publisherเชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่en_US
dc.subjectHypertensionen_US
dc.titleKnowledge, attitudes, practices, and knowledge retention towards hypertension among caregivers of hypertensive patients in Neno, Malawi: A Rural settingen_US
dc.title.alternativeความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติ และการเก็บรักษาความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในเนโน ประเทศมาลาวี บริเวณชนบทen_US
dc.typeThesis-
thesis.degreemasteren_US
thesis.description.thaiAbstractโรคความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สําคัญ เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ดูแลเป็นบุคคลสำคัญในการจัดการโรคความดันโลหิตสูงโดยการให้การสนับสนุนผู้ป่วยในการรับประทานยาและตรวจวัดความดันโลหิต การศึกษานี้ได้ทำการตรวจสอบความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติของผู้ดูแล (KAP) และปัจจัยกําหนดของความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติของผู้ดูแลต่อโรคความดันโลหิตสูงและการเก็บรักษาความรู้ของผู้ดูแลหลังการให้สุขศึกษา ผู้วิจัยทําการศึกษาไปข้างหน้าในเมืองนีโน ประเทศมาลาวี ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบท ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 422 คน จากคลินิกดูแลผู้ป่วยเรื้อรังแบบบูรณาการ (IC3) ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมในการศึกษานี้ แบบสอบถามแบบมีโครงสร้างถูกใช้เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน หลังได้รับข้อมูลสุขศึกษา และข้อมูลในสัปดาห์ที่หก โดยใช้โปรแกรม SPSS V 22.0 ในการคำนวณคะแนน KAP สถิติเชิงพรรณนา ผู้วิจัยเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงคะแนนพื้นฐานในด้านความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติ ความสัมพันธ์ระหว่าง KAP และระหว่าง KAP กับลักษณะทางประชากรศาสตร์ทางสังคมโดยใช้การทดสอบ Wilcoxon signed-rank ความสัมพันธ์ของ Pearson และการทดสอบ t-test อิสระ ตามลําดับ ในบรรดาผู้ดูแล จำนวน 422 คนที่เข้าร่วมการศึกษา จำนวน 248 คน (58.8%) มาจากคลินิก IC3 ของโรงพยาบาลชุมชนลิซุงวิ (Lisungwi) จำนวนและ 174 คน (41.2%) มาจากโรงพยาบาลเขตนีโน 267 คน (63.2%) เป็นผู้หญิง โดยมีอายุเฉลี่ย 44.94 ปี ที่พื้นฐาน คะแนนความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติมีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานคือ 9.50 (38.0%) (SD=1.92), 16.76 (93.1%) (SD=1.31) และ 25.24 (78.9%) (SD=3.10) ตามลำดับ พบความสัมพันธ์เชิงบวกที่สำคัญระหว่างความรู้และการปฏิบัติ (r=+0.252; p<0.001) และความรู้และทัศนคติ (r=+0.255; p<0.001) แต่ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสําคัญระหว่างทัศนคติและการปฏิบัติ (r=+0.0.64; p=0.190) อายุมีความสัมพันธ์อย่างมากกับทัศนคติ (r=+0.233; p<0.001) แต่ไม่ใช่กับความรู้ (r=+0.034; p=0.490) หรือการปฏิบัติ (r=+0.043; p=0.382) ในการประเมินพื้นฐาน คะแนนความรู้เฉลี่ยพื้นฐานคือ 9.50 (38.0%) และเพิ่มขึ้นเป็น 21.08 (84.3%); p= <0.001 ทันทีหลังจากได้รับสุขศึกษา และลดลง 2.1% เหลือ 20.54 (82.2%); p=0.000 ทันทีในสัปดาห์ที่หกหลังได้รับสุขศึกษา ทัศนคติดีขึ้นจาก 16.76 (93.1%) ที่พื้นฐานเป็น 17.74 (98.6%) ที่สัปดาห์ที่หก ในทํานองเดียวกันการปฏิบัติคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 25.24 (78.9%) ที่พื้นฐานเป็น 27.42 (85.7%) ในสัปดาห์ที่หก มีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่าง KAP ในขณะที่อายุมีความสัมพันธ์เชิงลบกับความรู้ (r=-0.146; p=0.003) มีความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญระหว่างระดับการศึกษาที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเก็บรักษาความรู้ p=0.009 ในการประเมินสัปดาห์ที่หก ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงแสดงความรู้และการปฏิบัติที่ไม่ดีพร้อมกับทัศนคติเชิงบวกต่อโรคที่เป็นพื้นฐาน มีการเก็บรักษาความรู้ในเชิงบวกและดีในกลุ่มผู้ดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงหลังการให้สุขศึกษาในสัปดาห์ที่หก ด้วยความรู้ที่ดีขึ้นและความสามารถในการรักษาความรู้ไว้ส่งผลให้ทัศนคติและการปฏิบัติดีขึ้น ผู้ดูแลจึงเป็นรากฐานที่สําคัญสําหรับการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่องและปรับปรุงการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงให้ดีขึ้นen_US
thesis.concealPublish (Not conceal)en_US
Appears in Collections:RIHES: Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
652735805_Chikondi Maluwa.pdf1.11 MBAdobe PDFView/Open


Items in CMUIR are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.