Please use this identifier to cite or link to this item:
http://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/79055
Full metadata record
DC Field | Value | Language |
---|---|---|
dc.contributor.advisor | Worland, Shirley | - |
dc.contributor.advisor | Chusak Wittayapak | - |
dc.contributor.author | Labang Roi San | en_US |
dc.date.accessioned | 2023-10-15T07:28:07Z | - |
dc.date.available | 2023-10-15T07:28:07Z | - |
dc.date.issued | 2023-06-08 | - |
dc.identifier.uri | http://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/79055 | - |
dc.description.abstract | The migratory and livelihood practices of Myanmar’s Kachin Internally Displaced Persons (IDPs) have changed significantly since the COVID-19 outbreak in early 2020 and the subsequent February 2021 military coup d’état in Myanmar. Notably, since the civil war resumed in 2011, the Kachin displaced people have been experiencing the mental trauma of losing their possessions, livelihood uncertainty, a lack of access to healthcare and education, and a low quality of life. Firstly, the pandemic further worsened the economy, health, education, traditional, cultural practices and livelihood activities of these displaced peoples. Then the military coup in 2021 further affected their lives and livelihoods as well as their security. Thus, this research examines the challenges Kachin IDPs and displaced migrants have faced along the Kachin-China border since the pandemic and the coup. To understand this, this qualitative study refers to Henri Lefebvre’s conceptualization of perceived space, conceived space, and lived space through the Kachin displaced people’s livelihood activities, cross-border migration, kinship networks, cultural and traditional activities, and the rules and regulations of the border governors in the conflict-affected areas along the Kachin State in Myanmar and its border with China. Fieldwork was carried out via online and with the assistance of a research assistant on site in Pa Kahtawng Displaced Persons Camp near Mai Ja Yang Township, Kachin State and online in Zhangfeng, Yunnan State, China. The findings show that the disruption of the pandemic and the political crisis have driven the displaced people to a poor quality of life, and no human security. During the pandemic, the economic situation of the displaced people in the border areas dramatically changed as they lost their jobs, and all the companies and workplaces were closed due to the COVID restrictions. Health is also the main issue during the pandemic and the coup. Not only physical health but also mental health affected the displaced people. Lack of healthcare caused illness among the elderly and children in IDP camps. The displaced migrants face insecure lives and prolonged mental depression and fatigue due to the unpredictable situation they find themselves in with no way to plan. In education, the disruption of lockdown, social distancing, and COVID-19 restrictions affected the meaningful learning and well-being of the students. The Kachin ethnic education department and teachers, and staff are under pressure to provide quality education to all students during the pandemic and the coup. Due to the COVID-19 restrictions, the Kachin cultural and traditional practices have also changed, and it impacted kinship networks as well. In addition, a few displaced people who remained to find jobs on the China side also face increased exploitation, discrimination, and depression because of their illegal status and are confined to specific areas. Some displaced migrants with documents can get jobs after lockdown restrictions were lifted, but with reduced income. The displaced migrants without documents are stuck in their relatives’ houses or one particular workplace without a proper job. Additionally, the Myanmar military coup worsened their lives in many ways, including severe inflation, increased risks of returning to their villages, and personal insecurity. During this emergency, community-based and non-government organizations provide emergency responses and possible solutions for the displaced people. However, it does not cover livelihoods for all. The study concludes with the recommendation that local and international NGOs cooperate with responsible leaders of the community-based organizations to respond more effectively to long-term lives and livelihood security by creating livelihood opportunities, providing vocational training, and sharing common land for agriculture to secure a sustainable future. | en_US |
dc.language.iso | en | en_US |
dc.publisher | Chiang Mai : Graduate School, Chiang Mai University | en_US |
dc.subject | Covid-19 pandemic | en_US |
dc.subject | Kachin internally displaced persons | en_US |
dc.subject | Livelihood security | en_US |
dc.subject | Migratory | en_US |
dc.subject | Myanmar military coup d’état | en_US |
dc.title | The Impacts of covid-19 pandemic and Myanmar’s political crisis on the lives and livelihood of internally displaced migrants in Kachin- China borderlands | en_US |
dc.title.alternative | ผลกระทบของการแพร่ระบาดโรค COVID-19 และวิกฤตการเมืองในประเทศเมียนมาบนชีวิตและความเป็นอยู่ผู้อพยพย้ายถิ่นฐานใน ชายแดนคะฉิ่น-จีน | en_US |
dc.type | Thesis | |
thailis.controlvocab.lcsh | Burma -- Politics and government | - |
thailis.controlvocab.lcsh | Kachin (Asian people) -- Migration | - |
thailis.controlvocab.lcsh | Kachin (Asian people) -- Burma | - |
thailis.controlvocab.lcsh | COVID-19 Pandemic, 2020- | - |
thailis.controlvocab.lcsh | COVID-19 (Disease) | - |
thesis.degree | master | en_US |
thesis.description.thaiAbstract | การอพยพย้ายถิ่นและแนวทางปฏิบัติในการดำรงชีวิตของผู้พลัดถิ่นชาวคะฉิ่นภายในประเทศ (IDPs) ของเมียนมาร์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ในต้นปี 2563 และการรัฐประหารในเมียนมาร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองเริ่มขึ้นอีกครั้งในปี 2554 ผู้พลัดถิ่นชาวคะฉิ่นต้องประสบกับความบอบช้ำทางจิตใจจากการสูญเสียทรัพย์สิน ความไม่แน่นอนในการดำรงชีวิต ขาดการเข้าถึงการรักษาพยาบาล การศึกษา และคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำ ประการแรก การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจ สุขภาพ การศึกษา วัฒนธรรม ประเพณี และกิจกรรมการดำรงชีวิตของผู้พลัดถิ่นเหล่านี้แย่ลงไปกว่าเดิม จากนั้นการรัฐประหารในปี 2564 ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ตลอดจนความมั่นคงของพวกเขา ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงวิเคราะห์ถึงความท้าทายที่ผู้พลัดถิ่นชาวคะฉิ่นและผู้อพยพพลัดถิ่นต้องเผชิญตามแนวชายแดนคะฉิ่น-จีน นับตั้งแต่เกิดโรคระบาดและรัฐประหาร เพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งนี้ การศึกษาเชิงคุณภาพนี้จึงอ้างอิงถึงแนวคิดของ Henri Lefebvre เกี่ยวกับพื้นที่การรับรู้ พื้นที่มโนทัศน์ และพื้นที่อาศัย โดยผ่านกิจกรรมการดำรงชีวิตของผู้พลัดถิ่นชาวคะฉิ่น การย้ายถิ่นข้ามพรมแดน ระบบเครือญาติ กิจกรรมทางวัฒนธรรมและประเพณี กฎและข้อบังคับของผู้ว่าการชายแดนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในรัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมาร์และชายแดนที่ติดกับประเทศจีน การศึกษาภาคสนามได้ดำเนินการผ่านทางออนไลน์และด้วยความช่วยเหลือจากผู้ช่วยงานวิจัยในสถานที่ในค่ายผู้พลัดถิ่น Pa Kahtawng ใกล้เมือง Mai Ja Yang รัฐคะฉิ่น และทางออนไลน์ในเมือง Zengfeng มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ผลการวิจัยพบว่าการก่อกวนของโรคระบาดและวิกฤตการเมืองได้ผลักดันให้ผู้พลัดถิ่นมีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ และไม่มีความมั่นคงของมนุษย์ ในช่วงที่เกิดโรคระบาด สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของผู้พลัดถิ่นในพื้นที่ชายแดนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเนื่องจากพวกเขาตกงาน บริษัทและสถานที่ทำงานทั้งหมดถูกปิดเนื่องจากข้อจำกัดของมาตรการการป้องกันโควิด สุขภาพยังเป็นประเด็นหลักในช่วงที่เกิดโรคระบาดและรัฐประหาร ไม่เพียงแต่สุขภาพกายเท่านั้นแต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้พลัดถิ่นอีกด้วย การขาดการรักษาพยาบาลทำให้ผู้สูงอายุและเด็กเจ็บป่วยในค่ายผู้พลัดถิ่น ผู้อพยพย้ายถิ่นต้องเผชิญกับชีวิตที่ไม่ปลอดภัยและภาวะซึมเศร้าทางจิตใจและความเหนื่อยล้าเป็นเวลานานเนื่องจากสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ที่พวกเขาพบว่าตัวเองไม่สามารถวางแผนได้ในด้านการศึกษา การหยุดชะงักของการล็อกดาวน์ การเว้นระยะห่างทางสังคม และข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ที่มีความหมายและความเป็นอยู่ที่ดีของนักเรียน แผนกการศึกษาชาติพันธุ์คะฉิ่น ครูและเจ้าหน้าที่อยู่ภายใต้แรงกดดันเพื่อให้การศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักเรียนทุกคนในช่วงที่เกิดโรคระบาดและรัฐประหาร เนื่องจากข้อจำกัดของโควิด-19 วิถีปฏิบัติทางวัฒนธรรมและประเพณีของชาวคะฉิ่นได้เปลี่ยนไป และส่งผลกระทบต่อระบบเครือญาติด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ผู้พลัดถิ่นบางส่วนที่ยังคงหางานทำอยู่ในฝั่งจีนยังเผชิญกับการเอารัดเอาเปรียบ การเลือกปฏิบัติ และความหดหู่ใจที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสถานะที่ผิดกฎหมายและถูกกักขังในพื้นที่เฉพาะส่วน ผู้พลัดถิ่นที่มีเอกสารสามารถหางานได้หลังจากการยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ แต่มีรายได้ลดลง ผู้พลัดถิ่นที่ไม่มีเอกสารติดอยู่ในบ้านญาติหรือสถานที่ทำงานแห่งใดแห่งหนึ่งโดยไม่มีงานทำที่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น การรัฐประหารของกองทัพเมียนมาร์ยังทำให้ชีวิตของผู้พลัดถิ่นชาวคะฉิ่นแย่ลงใน หลาย ๆ ด้าน รวมถึงภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการกลับไปยังหมู่บ้านของพวกเขา และความไม่ปลอดภัยส่วนบุคคล ในระหว่างเหตุฉุกเฉินนี้ องค์กรชุมชนและองค์กรพัฒนาเอกชนให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินและแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้สำหรับผู้พลัดถิ่น อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือนี้ไม่ได้ครอบคลุมการดำรงชีวิตสำหรับทุกคน การศึกษาสรุปโดยเสนอแนะให้องค์กรพัฒนาเอกชนทั้งในและต่างประเทศร่วมมือกับผู้นำที่รับผิดชอบขององค์กรชุมชนเพื่อตอบสนองต่อชีวิตในระยะยาวและความมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการสร้างโอกาสในการดำรงชีวิต การฝึกอาชีพ และการแบ่งปันที่ดินส่วนกลางสำหรับการเกษตรเพื่อความมั่นคงและอนาคตที่ยั่งยืนของผู้พลัดถิ่น | en_US |
Appears in Collections: | SOC: Theses |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
630435818 Labang Roi San.pdf | 2.74 MB | Adobe PDF | View/Open Request a copy |
Items in CMUIR are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.