Please use this identifier to cite or link to this item: http://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/78092
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorกาญจนา โชคถาวร-
dc.contributor.advisorปีดิเทพ อยู่ยืนยง-
dc.contributor.authorพันธุ์ธิช สีเทาen_US
dc.date.accessioned2023-06-21T00:57:27Z-
dc.date.available2023-06-21T00:57:27Z-
dc.date.issued2023-02-
dc.identifier.urihttp://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/78092-
dc.description.abstractThe study aims to explore the elderly’s loans from the elderly fund for occupations in Phayao Province with three main objectives. To start with, this research examines the factors underlying the loans of the elderly. Secondly, it investigates the change in the elderly’s income after the loan approval. Lastly, the study scrutinizes the saving behavior of the elderly who live in Phayao Province and have been granted the elderly fund’s loan. The research implemented both quantitative and qualitative methods to examine 285 samples out of the 1,448 population by employing questionnaire as a means of collecting data for further arithmetic analysis. The findings indicated that the samples who were given the loan were mostly married men aged between 60 to 69 years old. Most of whom lived with spouses and earned their livelihood from trading and farming. The reasons associated with applying for the loan involved two main causes: career development and daily spendings. Furthermore, the factors affecting the elderly’s loans in Phayao Province consisted of age, educational level, the need for capital, living condition, and the government’s policy to support the elderly’s occupations. In terms of income change, most of the samples had the range of income between 15,001 – 25,000 baht prior to the loan or on average 19,330 baht per month. After the loan being approved, nevertheless, their average income decreased by 1.84 percent to 18,975 baht a month. As for saving behavior, 42.81 percent of the samples had money left for savings prior to the loan, which were equal to 122 out of 285 people. In this condition, they had 2,022 baht on average left per month to be kept in the savings account, but the actual amount of money saved varied from 901 – 1,500 baht a month. After a successful provision of the loan, however, the number of samples having money left for savings following all expenses shrank by 16.39 percent to 37.79 percent or 102 samples. Correspondingly, the amount of money left for savings dropped to 1,410 baht on average with the actual savings being less than or equal to 900 baht, contracting by 7.30 percent. It therefore can be concluded that the loans from the elderly fund for occupation engendered a reduction in their income, which subsequently had an impact upon the amount of savings. Hence, while supporting the elderly’s occupations, the government is supposed to educate them about how to improve their professional skills as well as how to invest in career development . The elderly fund’s key performance indicator, moreover, ought to reduce the number of loanees as opposed to increasing it. Further study, in addition, should focus on outstanding debts and how the elderly, who have already cleared themselves of debts, invest in career development.en_US
dc.language.isootheren_US
dc.publisherเชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่en_US
dc.titleการกู้เงินของผู้สูงอายุจากกองทุนผู้สูงอายุเพื่อประกอบอาชีพในจังหวัดพะเยาen_US
dc.title.alternativeLoans of the elderly person from the elderly fund for occupation in Phayao Provinceen_US
dc.typeIndependent Study (IS)-
thailis.controlvocab.thashการกู้ยืม -- พะเยา-
thailis.controlvocab.thashผู้สูงอายุ -- พะเยา-
thailis.controlvocab.thashผู้สูงอายุ -- การสงเคราะห์-
thailis.controlvocab.thashผู้สูงอายุ -- รายได้-
thesis.degreemasteren_US
thesis.description.thaiAbstractการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาการกู้เงินของผู้สูงอายุจากกองทุนผู้สูงอายุเพื่อการประกอบอาชีพในจังหวัดพะเยา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยในการกู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุ ศึกษาความเปลี่ยนแปลงของรายได้ (เพิ่มขึ้น - ลดลง) ของผู้สูงอายุภายหลังการกู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุ และศึกษาพฤติกรรมการออมของกลุ่มผู้สูงอายุในจังหวัดพะเยาที่กู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุ โดยเป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสานซึ่งจะมีทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ มีประชากรเป็นผู้สูงอายุที่กู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุในจังหวัดพะเยา จำนวน 1,448 ราย เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 285 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุที่กู้ยืมเงินจากกองทุนผู้สูงอายุในจังหวัดพะเยา ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อยู่ในช่วงอายุ 60 – 69 ปี อยู่ในสถานภาพสมรส อาศัยอยู่กับคู่สมรสเป็นส่วนใหญ่ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอาชีพค้าขาย และเกษตรกรรม มีเหตุผลในการกู้ยืมคือนำไปเป็นทุนในการประกอบอาชีพ มีบางส่วนที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการกู้ยืมเงินพบว่า อายุ ระดับการศึกษา ความต้องการเงินทุน การอยู่อาศัย และนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพให้กับผู้สูงอายุโดยการปล่อยเงินกู้ผ่านกองทุนผู้สูงอายุ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการกู้ยืมเงินของผู้สูงอายุในจังหวัดพะเยา ส่วนในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงรายได้ของรายได้ของผู้สูงอายุภายหลังการกู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุ พบว่า ก่อนการกู้ยืมเงินจากกองทุนผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายได้อยู่ในช่วง 15,001 – 25,000 บาทต่อเดือน โดยมีรายได้เฉลี่ย 19,330 บาทต่อเดือน แต่ภายหลังจากการกู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายได้อยู่ในช่วง 15,001 – 25,000 บาท เช่นเดียวกัน แต่มีรายได้เฉลี่ย 18,975 บาทต่อเดือน ซึ่งลดลงจากก่อนกู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุร้อยละ 1.84 และในส่วนของพฤติกรรมการออมของกลุ่มผู้สูงอายุในจังหวัดพะเยาที่กู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุ พบว่า ก่อนการกู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างมีเงินเหลือสำหรับการออมจำนวน 122 คน คิดเป็นร้อยละ 42.81 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ปริมาณการออมอยู่ในช่วง 901 – 1,500 บาทต่อเดือน โดยมีเงินเหลือสำหรับการออมเฉลี่ย 2,022 บาทต่อเดือน และภายหลังการกู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างมีเงินเหลือสำหรับการออมจำนวน 102 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 37.79 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ลดลงร้อยละ 16.39 มีจำนวนเงินเหลือสำหรับการออมภายหลังจากการกู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุ อยู่ในช่วงต่ำกว่าหรือเท่ากับ 900 บาทต่อเดือนโดยมีปริมาณเงินเหลือเฉลี่ย 1,410 บาทต่อเดือน ซึ่งลดลงจากเงินออมก่อนการกู้ยืมเงิน ร้อยละ 7.30 จากการศึกษาดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า การกู้ยืมเงินกองทุนผู้สูงอายุส่งผลให้รายได้ของผู้สูงอายุที่กู้ยืมเงินลดลง เมื่อรายได้ลดลงการออมก็ลดลงไปด้วย ดังนั้น ภาครัฐควรมีการส่งเสริมการประกอบอาชีพโดยควบคู่ไปกับการให้ความรู้ด้านการประกอบอาชีพและการลงทุนให้กับผู้สูงอายุอย่างจริงจัง รวมไปถึงการกำหนดตัวชี้วัดของการกู้ยืมเงินจากกองทุนผู้สูงอายุโดยให้ความสำคัญกับการลดจำนวนผู้กู้ มากกว่าการเพิ่มจำนวนผู้กู้ และสำหรับผู้ที่จะศึกษาในด้านนี้ควรศึกษาในส่วนของปัญหาหนี้ค้างชำระ และการลงทุนการประกอบอาชีพของผู้สูงอายุ ที่ชำระหนี้ครบแล้วen_US
Appears in Collections:SOC: Independent Study (IS)

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
610432001-พันธุ์ธิช สีเทา.pdf1.85 MBAdobe PDFView/Open    Request a copy


Items in CMUIR are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.