Self-Leadership of Nurses in Tertiary Hospitals, Yunnan Province, the People’s Republic of China

Abstract

lf-leadership is important in changing environments because it improves job performance, enhances group leadership and quality of care. The purposes of this descriptive comparative study were to explore the self-leadership of staff nurses and nurse managers and to compare the differences between these groups. The sample included 406 staff nurses and 316 nurse managers who were selected using multistage sampling technique from five tertiary hospitals in Yunnan Province, the People’s Republic of China. Research instruments included the Demographic Data Form and the Revised Self-Leadership Questionnaire (RSLQ). The Cronbach’s alpha coefficients of RSLQ for staff nurses and nurse managers were .97 and .91 respectively. Descriptive statistics, Mann-Whitney U test, and independent t-test were used for data analysis. Results were as follows: 1.For staff nurses, the overall mean score of self-leadership (x̄ = 3.50, SD = .59) and its three dimensions including behavior-focused strategies (x̄ = 3.53, SD = .60), natural reward strategies (x̄ = 3.53, SD = .68), and constructive thought pattern strategies (x̄ = 3.45, SD = .65) were at a moderate level. 2.For nurse managers, the overall mean score of self-leadership (x̄ = 4.02, SD = .45) and its three dimensions including behavior-focused strategies (x̄ = 4.03, SD = .46), natural reward strategies (x̄ = 4.01, SD = .54), and constructive thought pattern strategies (x̄ = 4.00, SD = .49) were at a high level. 3.There were significant differences between staff nurses and nurse managers in overall mean score of self-leadership (t = -13.32, p < .01) and its dimensions including behavior-focused strategies (t = -12.77, p < .01), natural reward strategies (z = -9.90, p < .01), and constructive thought pattern strategies (t = -12.80, p < .01). These results provide baseline information for nurse administrators to enhance the self-leadership skills of nurses in order to improve job performance, group leadership, and quality of care.

ภาวะผู้นำในตนเองมีความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน เพิ่มความเป็นผู้นำกลุ่มและคุณภาพของการดูแล การศึกษาเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำในตนเองของพยาบาลประจำการและผู้จัดการพยาบาลและเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของภาวะผู้นำในตนเองระหว่างทั้งสองกลุ่ม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลประจำการ 406 คน และผู้จัดการพยาบาล 316 คน ซึ่งถูกคัดเลือกโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอนจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ 5 แห่งในมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบฟอร์มข้อมูลส่วนบุคคลและแบบสอบถามภาวะผู้นำในตนเองฉบับแก้ไข (RSLQ) ซึ่งค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาค ของ RSLQ ที่ใช้ทดสอบในพยาบาลประจำการเท่ากับ 0.97 และผู้จัดการพยาบาล เท่ากับ 0.91 ตามลำดับซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบแมนวิทนียูและการทดสอบค่าที ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ 1.สำหรับพยาบาลประจำการ คะแนนเฉลี่ยของภาวะผู้นำในตนเองโดยรวม (x̄ = 3.50, SD = .59) และคะแนนรายด้าน ประกอบด้วย กลยุทธ์การมุ่งเน้นพฤติกรรม (x̄ = 3.53, SD = .60) กลยุทธ์การให้รางวัลตามธรรมชาติ (x̄ = 3.53, SD = .68) และกลยุทธ์ในการสร้างสรรค์แบบแผนความคิด (x̄ = 3.45, SD = .65) อยู่ในระดับปานกลาง 2.สำหรับผู้จัดการการพยาบาล คะแนนเฉลี่ยของภาวะผู้นำในตนเองโดยรวม (x̄ = 4.02, SD = .45) และคะแนนรายด้าน ประกอบด้วย กลยุทธ์การมุ่งเน้นพฤติกรรม (x̄ = 4.03, SD = .46) กลยุทธ์การให้รางวัลตามธรรมชาติ (x̄ = 4.01, SD = .54)) และกลยุทธ์ในการสร้างสรรค์แบบแผนความคิด (x̄ = 4.00, SD = .49) อยู่ในระดับสูง 3.มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคะแนนภาวะผู้นำในตนเองโดยรวมของพยาบาลประจำการและผู้จัดการพยาบาล (t = -13.32, p <.01) และข้อมูลด้านอื่น ได้แก่ กลยุทธ์การมุ่งเน้นพฤติกรรม (t = -12.77, p <.01) กลยุทธ์การให้รางวัลตามธรรมชาติ (z = -9.90, p <.01) และกลยุทธ์ในการสร้างสรรค์แบบแผนความคิด (t=-12.80, p <.01) ผลลัพธ์ที่ได้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับผู้บริหารการพยาบาลเพื่อพัฒนาทักษะภาวะผู้นำในตัวเองของพยาบาลเพื่อที่จะพัฒนาการปฏิบัติงานของพยาบาล ภาวะผู้นำของกลุ่ม และคุณภาพการดูแล