Factors Related to Intent to StayAmong Nurses in the Tertiary Hospital, Maldives

Abstract

Nursing shortages and high turnover makes it necessary to explore nurses’ intentions to stay in an organization. This descriptive correlational study aimed to explore intent to stay (ITS) among nurses and related factors; including professional autonomy, organizationalclimate, and personal factors. It then examined the relationships between ITS and these related factors. The sample consisted of 177 nurses working in a tertiary hospital in Maldives. The research instruments were: the Intent to Stay Scale (ITSS), the Nursing Activity Scale (NAS), and the Organizational Climate Survey (OCS). The reliability coefficientsof the ITSS, NAS and OCS scale were .87, .81, and .81 respectively. Data were analyzed using descriptive statistics and Spearman’s rank-order correlation coefficient. The results of this study indicated that: 1. The overall mean score of intent to stay was at a moderate level. Most subjects (69.49%) reported moderate intent to stay, 25.99% reported high intent to stay, and only 4.52 % reported low intent to stay. 2. There were significant low positive relationships between intent to stay and working overtime, monthly income, and organizational climate. 3. There was no significant relationship between intent to stay, and years of experience, nor professional autonomy. The results of this study can be used as baseline information for hospital administrators and nurse administrators to develop strategies to increase nurses’ intent to stay by considering related factors.

ภาวะการขาดแคลนพยาบาลและอัตราการลาออกที่สูงทำ ให้มีความจำ เป็นที่จะต้องสำรวจความตั้งใจของพยาบาลที่จะอยู่ทำงานในองค์กร การศึกษาแบบพรรณาหาความสัมพันธ์ครั้งนี้มุ่งที่จะศึกษาการคงอยู่ในงานของพยาบาลและปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้แก่เอกสิทธ์วิชาชีพ บรรยากาศองค์กรและปัจจัย ส่วนบุคคลและสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างการคงอยู่ในงานกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลจำนวน 117 คน ที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิประเทศมัลดีฟส์ เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบวัดการคงอยู่ในงาน แบบวัดกิจกรรมการพยาบาลและแบบสำรวจบรรยากาศองค์กร ซึ่ง มีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของเครื่องมือวิจัยทั้งสามเท่ากับ .87, .81 และ .81 ตามลำดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณาและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบลำดับที่ของสเปียร์แมน ผลการวิจัยพบว่า 1. ค่าเฉลี่ยโดยรวมของการคงอยู่ในงานอยู่ในระดับปานกลางกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ (69.49%) รับรู้การคงอยู่ในงานในระดับปานกลาง ร้อยละ 25.99 ของกลุ่มตัวอย่างรับรู้การคงอยู่ในงานใน ระดับสูง มีเพียงร้อยละ 4.52% รับรู้การคงอยู่ในงานในระดับต่ำ 2. การคงอยู่ในงานมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับต่ำกับ การปฏิบัติงานเกินเวลา รายได้ต่อเดือนและบรรยากาศองค์กร 3. การคงอยู่ในงานไม่มีความสัมพันธ์กับจำนวนปีของประสบการณ์การทำงานและเอกสิทธิ์วิชาชีพ ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับผู้บริหารโรงพยาบาลและผู้บริหารทางการพยาบาล ในการพัฒนากลยุทธ์ที่จะเพิ่มการคงอยู่ในงานของพยาบาลโดยคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง