Please use this identifier to cite or link to this item:
http://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/64264
Full metadata record
DC Field | Value | Language |
---|---|---|
dc.contributor.author | นันทวัน สมนาศักดิ์ | en_US |
dc.contributor.author | จุฑารัตน์ มีสุขโข | en_US |
dc.contributor.author | อุษณีย์ จินตะเวช | en_US |
dc.date.accessioned | 2019-05-07T10:01:59Z | - |
dc.date.available | 2019-05-07T10:01:59Z | - |
dc.date.issued | 2559 | en_US |
dc.identifier.issn | 0125-0081 | en_US |
dc.identifier.uri | https://www.tci-thaijo.org/index.php/cmunursing/article/view/92435/72403 | en_US |
dc.identifier.uri | http://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/64264 | - |
dc.description | วารสารพยาบาลเป็นวารสารทางวิชาการที่เผยแพร่ความรู้ทางการพยาบาลและการผดุงครรภ์ รวมทั้งความรู้ใหม่ในวงการสุขภาพที่เกี่ยวข้องและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และ ประสบการณ์เกี่ยวกับวิชาชีพการพยาบาลอีกทั้งเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ร่วมวิชาชีพและภาพลักษณ์ของวิชาชีพการพยาบาล จัดทำโดย สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ กำหนดออกปีละ 4 ฉบับ | en_US |
dc.description.abstract | การดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายได้รับการยอมรับว่าเป็นบทบาทสำคัญของพยาบาล อย่างไรก็ตามพบว่า พยาบาลฉุกเฉินมีการปฏิบัติในเรื่องนี้น้อย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย การวิจัยเชิงพรรณนาหาความสัมพันธ์ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของพยาบาลฉุกเฉิน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหน่วยตรวจฉุกเฉิน โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ ตติยภูมิ และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในเขตจังหวัดภาคเหนือตอนบนจำนวน 6 โรงพยาบาลและคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีเลือกแบบหลายขั้นตอน ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 119 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย (1) แบบสอบถามการปฏิบัติของพยาบาลฉุกเฉินในการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้าย (2) แบบประเมินความรู้ของพยาบาลฉุกเฉินเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้าย (3) แบบประเมินทัศนคติของพยาบาลฉุกเฉินเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้าย มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98, 0.81, และ 0.81 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติสหสัมพันธ์สเปียร์แมน และสถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า พยาบาลฉุกเฉินมีการปฏิบัติและมีความรู้ในการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายอยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 52.94 และ 64.71 ตามลำดับ และมีทัศนคติที่ดีต่อการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายคิดเป็นร้อยละ 81.49 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้านความรู้มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายของพยาบาลฉุกเฉินในระดับต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.26, p < 0.01) และปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้านทัศนคติมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการปฏิบัติของพยาบาลฉุกเฉินในการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.31, p < 0.01) ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ความรู้และทัศนคติมีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายของพยาบาลฉุกเฉิน ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการส่งเสริมให้พยาบาลมีความรู้และทัศนคติที่ดี เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายในหน่วยตรวจฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป | en_US |
dc.language | Tha | en_US |
dc.publisher | คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | en_US |
dc.title | การปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้ายและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ในพยาบาลฉุกเฉิน | en_US |
dc.title.alternative | Practices of End-of-Life Care Pediatric Patients and Related Factors Among Emergency Nurses | en_US |
dc.type | บทความวารสาร | en_US |
article.title.sourcetitle | พยาบาลสาร | en_US |
article.volume | 43 | en_US |
article.stream.affiliations | ศูนย์ศรีพัฒน์คณะแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | en_US |
article.stream.affiliations | คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | en_US |
Appears in Collections: | CMUL: Journal Articles |
Files in This Item:
There are no files associated with this item.
Items in CMUIR are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.